เรืองจริงในอดีต
ศึกไสยเวทย์ หลวงปู่สงฆ์ vs หลวงพ่อบ่าวหลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่งมีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัดหลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ ลูกหาและได้รับความเคารนับถือจากชาวบ้านตามสมควรแต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเพราะ ลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อยด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพัน
การมาของหลวงปู่นั้น พ่อหลวงบ่าวทราบดีทุกระยะท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไรเพราะต่างคนต่างอยู่ว่ากันไปน้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อฉันใดฉันนั้นเมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์นั้นเป็นของดีมิใช้ของเน่าเสียแต่ประการใด
ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน
ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช่ำ
บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้นน้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่ จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์ ระหว่างพ่อหลวงบ่าวกับหลวง
ปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้
กุฏิของหลวงปู่สำเร็จด้วยด้วยความศรัทธาของชาวบ้านเป็นกุฏิที่พออยู่ได้ไม้ใหญ่โตอะไรมาก
ในคืนนั้น
ขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควรสักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยุ่หนึ่งใบท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณาแล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิ
สิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อน
นี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์
เป็นธรรมดาของคน เล่นอาคม เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กัน เพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมา
คืนต่อมา
ในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของ
วิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่านความรู้สึกบอกตัวเอง
“มันมาอีกแล้ว”
ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืดถึงแม้จะหลับตาแต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเอง
เมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าผ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้าม
ในตอนเช้าเมื่อญาติโยม ลูกศิษย์ ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นปาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้ การพูดทำนองตักเตือนพ่อหลวงบ่าวเพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์พ่อหลวงบ่าวอยู่บ้างอาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของพ่อหลวงบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้
ในคืนนั้นเอง
หลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาตรก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมากหล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้
ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุ ผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุมีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้
และในคืนต่อมานั้นเองหลวงปู่ก็พลาดท่าเพราะสิ่งที่พ่อหลวงบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้
ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้องเพราะมันเป็นมีดหมออาคมถ้าหากให้มันหมุนได้ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบแล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่าน
สิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคม
ท่านให้มันออกมาทางปากท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ
“พ่อหลวงจะทำอะไร”
ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัยหลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า
“ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบเขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาวเราต้องสั่งสอนบ้าง”
เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้วหลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเองระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของพ่อหลวงบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างเพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืน
แต่เมื่อมาถึงกุฏิเห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่พ่อหลวงบ่าวทันทีท่านได้รับรายงานก็สะดุ้งรู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่าหลวงปู่นนั้นอาคมสูงกว่าเพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั่นได้ผลแต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช้หลวงปู่รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาด
เพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วย ควายธนูอย่างแน่นอน พ่อหลวงบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้น
ความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือกตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้พ่อหลวงบ่าวได้ทราบว่า
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
ฝ่ายพ่อหลวงบ่าววออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึกไกลพอประมาณความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาตพ่อหลวงบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่งได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคน
ตอนเย็นวันนั้นพ่อหลวงบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมาเหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่พ่อหลวงบ่าวกิ่งยางหล่นลงมาทับร่างพ่อหลวงบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที
ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไรได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่พ่อหลวงบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อพ่อหลวงบ่าวจากไปแล้วท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของพ่อหลวงบ่าว
หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราว ต่อไปแม้ยังไม่เกิดขึ้นว่าต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรืองคนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้นคนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้
ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อสมัยที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนเวศวิหารดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ข้อมูล จากแฟนเพจหลวงปู่สงฆ์ จนทสโจ